top of page

ตั้งราคายังไงไม่ให้เข้าเนื้อตัวเอง แถม มีเงินเก็บทุกครั้งที่ขายได้

  • Writer: Janejira R.
    Janejira R.
  • Sep 24, 2021
  • 1 min read

การตั้งราคาที่ดี ประกอบไปด้วย 3 ส่วนด้วยกัน

  1. เริ่มจากการรู้จักโครงสร้างต้นทุนสินค้าของตัวเอง

  2. ตั้งสัดส่วนการเงินเก็บโดยคิดจากต้นทุนสินค้า หรือ ที่เราเรียกว่า Mark-up

  3. % กำไรที่SME อยากได้จากการขายสินค้า 1 ชิ้น

ree

ต้นทุนสินค้า คือ อะไร?

ต้นทุนสินค้า คือ ค่าใช้จ่ายที่SME จะต้องจ่ายออกไปเพื่อให้สินค้าอยู่ในสภาพ”พร้อมขาย” ดังนั้นต้นทุนจึงไม่ได้รวมแค่ค่าวัตถุดิบ อย่างเดียว แต่หมายถึงค่าเเพคเกจจิ้ง(packaging) ค่าส่งสินค้า หรือ เเม้กระทั่งค่ารถไปซื้อวัตถุดิบ เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ต้นทุนเหล่านี้ได้ SMEจำเป็นจะต้องมีระบบหลังบ้านที่ดี


ต้นทุนสินค้าของแต่ละประเภทธุรกิจจะแตกต่างกันออกไป แล้วแต่ว่าคุณเป็นธูรกิจให้บริการ, ซื้อมาขายไป หรือ ผลิตสินค้าเอง (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ วิธีการคำนวณต้นทุนขาย ก่อนตั้งราคาขายให้คุ้ม - (peakaccount.com))


MARK UP อาวุธลับที่ช่วยให้ SME มีเงินเก็บทุกครั้งที่ขายได้

Mark-up คือ เงินที่เราเผื่อไว้ในราคาของสินค้าทุกชิ้น โดยบวกเพิ่มไปเสมือนเป็นต้นทุนสินค้าอีกอย่างหนึ่ง เช่น ร้านของเล่นTOY BOXกำลังจะตั้งราคาขายสำหรับสินค้าใหม่ เจ้าของร้านคิดว่าจะใช้เงินจากยอดขายอีกประมาณ20%ในเพื่อสำรองเงินในการขยายสาขา ดังนั้น เราควร Mark-up 20% จากต้นทุนของของเล่น

  • ต้นทุนของเล่น = 200 บาท

  • Mark-up (20%) = 200*20% = 40 บาท

สมมติว่า ราคาขายของสินค้านี้ คือ 300 บาท เมื่อร้าน TOY BOX ขายสินค้าใหม่นี้ได้ ร้านก็จะเก็บเงิน 40บาทนี้เเยกไว้ต่างหาก หักต้นทุนสินค้า(200 บาท) และ เก็บเงินที่เหลือ 60 บาทไว้เพื่อใช้จ่ายค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช้ต้นทุนสินค้าต่อไป เช่น เงินเดือนพนักงาน, ค่าเช่าออฟฟิศ, ค่าน้ำค่าไฟ


ree

โดยข้อดีของการมี Markup คือ

  1. เป็นเงินสำรองสำหรับกรณีฉุกเฉิน ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ Covid-19 ทำให้เราเห็นว่าการมีเงินสำรองเหล่านี้ นั้นสำคัญมาก เพราะ มันจะทำให้ธุรกิจของคุณอยู่ต่อไปได้ แม้เศรษฐกิจจะไม่ดี หรือ ยอดขายต่ำลง

  2. เป็นแหล่งเงินทุนชั้นนำของคุณ เพื่อการลงทุน ขยายกิจการ โดยไม่ต้องพึ่งเงินกู้จากธนาคาร หรือ นักลงทุนอื่น

  3. เป็นแหล่งสำรองที่จะนำไปใช้จ่ายปันผล ให้โบนัสพนักงาน


ดังนั้น Muchroom แนะนำให้SME เปิดบัญชีธนาคารใหม่ เพื่อเเยกเก็บMark-up นี้ไว้อย่างชัดเจน เพื่อที่SME จะได้รู้ได้ว่า วันที่เราจะต้องการใช้เงินเหล่านี้ เราสามารถใช้เงินได้เท่าไหร่ โดยที่ไม่รบกวนการดำเนินการปกติของธุรกิจมากเกินไป


บวกกำไรให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายอื่นๆ

เสต๊ปสุดท้าย SME จะบวก %กำไรเข้าไป เพื่อให้ได้ราคาขาย ถ้าหากเราใช้ตัวอย่างเดิม ร้านTOY BOX

  • ต้นทุนของเล่น = 200 บาท

  • Mark-up (20%) = 200*20% = 40 บาท

  • เจ้าของร้านอยากได้กำไร 30%

ดังนั้นราคาขายของเล่น = 240*(1+30%) = 312 THB ไม่ใช่ 300 บาทอย่างที่คิดไว้ตอนเเรก


เพราะฉะนั้น เมื่อขายของได้ TOY BOX จะมีเงิน 72 บาท (กำไร = 312 ราคาขาย - 200 ต้นทุน -40 Mark-Up = 72 บาท) ถ้าหากว่า TOY BOX มีค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ต้องจ่ายต่อเดือนอีก 7,000 บาท แปลว่า TOY BOX จะต้องขายของให้มากกว่า 100 ชิ้นต่อเดือน เพื่อให้มีกำไรทุกๆเดือน


ree

ถ้าหากว่าในกรณีของ SME คิดว่า 100 ชิ้นเป็นจำนวณที่มากเกินไป สิ่งที่SME สามารกแก้ได้คือ

  1. ลดต้นทุน สั่งซื้อวัตถุดิบให้มีประสิทธภาพมากขิ้น

  2. ลด% Markup เหลือ 5% หรือ 10%

  3. เพิ่ม %กำไร

แต่ หลังจากได้ราคาขายมาแล้ว SMEควรเช็คกับตลาดด้วยว่า คุณขายถูกเเพงกว่าเจ้าอื่นๆ อย่างไร แล้วสินค้าคุณมีจุดขายอย่างไรที่ทำให้ลูกค้าจะยอมจ่ายมากกว่า แล้วอย่าลืมสื่อสารจุดขายเหล่านี้ไปยังลูกค้า

.

การตั้งราคาเเบบนี้จะทำให้ SME มีราคาขายที่

  1. ครอบคลุมต้นทุนสินค้า ไม่เข้าเนื้อ

  2. มีเงินเก็บทุกครั้งที่ขายสินค้าได้

  3. มีเงินเหลือไปใช่จ่ายอื่นๆต่อไปในธุรกิจ


ree

หากคุณเป็นเจ้าของคนเดียว หรือ มีทีมเล็ก Muchroom ยินดีเป็นส่วนหนึ่งของทีมคุณ ในการช่วยคิดคำนวณต้นทุนสินค้า ให้คำเเนะนำในการวางระบบ และ ช่วยวิเคราะห์โครงสร้างราคาขายปัจจุบันของคุณให้มีคุณภาพมากขึ้น มีเงินสดมากขึ้น ทำให้บริษัทของคุณเพิ่มโตอย่างเป็นระบบ เเละยั่งยืน

ติดต่อเรา

- ☎️ Tel: 082-221-3441

- 📧 email: muchroom.consultancy@gmail.com


Comments


bottom of page